อำพล ถาวรโลหะ
เต๋าพิสดาร
ลูกผู้ชายต้องโตนอกบ้าน ขึ้นชื่ว่านักเลงโบราณ หัวใจแน่กว่าไกปืน เขาบูชามิตรภาพ หากรู้ว่าเพื่อนลำบาก ไม่รีรอให้เพื่อนเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ มือขงเขายื่นไปหาเพื่อนทันที เพราะเขาเป็นคนแบบนี้ จึงมีเพื่อนรักทั่วประเทศ จนได้รับการขนานนามว่า
“มือประสานสิบทิศ”
ทั้งแวดวงการเมือง ธุรกิจ ทหาร ตำรวจ เขาช่วยด้วยใจ ไม่หวังผลตอบแทนด้วยเงินตรา ขอแค่มิตรภาพกลับมาก็พอ เขาไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญการเมืองไทย เขาไม่ใช่เซียนพระ แต่มีพระมากกว่า 9 วัดรวมกัน โดยไม่ใช้เงินซื้อหามาสักบาทเดียว เขาไม่ใช่ตำรวจ เขาไม่มีบั้งไม่มีเบี้ย เพราะเหตุนี้คนยุคนั้นเรียกเขาว่า
“เต๋ากองปราบ”
ถวายพระรูปเหมือนหลวงปู่โต พรหมรังสี พร้อมเปิดกรุ 150 ปี วัดสอนประชาราม
เต๋าพิสดาร | ถวายพระรูปเหมือนหลวงปู่โต พรหมรังสี พร้อมเ […]
กล่าวถึงอาเต๋า
วันหนึ่ง เฮียเต่าโทรศัพท์ไปหากระผมที่ลำป างว่าจะจัด นิทรรศการ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” ขึ้น มีวัตถุประสงค์จะให้ “คน ที่รู้ แต่ยังไม่รู้” ถือว่าเป็นคนเผยแพร่เกียรติคุณท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ให้แก่บุคคลและอนุชน รุ่นหลังได้ทราบเพื่อการศึกษาต่อไป ถือว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ที่ เฮียเต่าได้กระทำในครั้งนี้ แม้ว่าปีนี้กระผมอายุจะย่างเข้าปีที่ 81 ที่เรียกว่า “เฮียเต๋า” ซึ่ง เป็นรุ่นน้อง จึงไม่เสียหลายที่ได้เรียกเฮียเต๋าตลอดมา และด้วยความรัก นับถือ และศรัทธา จะขอเรียก “เฮียเต๋า”ตลอดไป
ดร.พินิจ จันทรสุรินทร์
อดีต รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“อาเต๋าเป็นคนพวกเยอะ เพื่อนมาก กว้างขวาง คนในวงการรู้กันดี เขาเป็นมือประสาน 10 ทิศ สนิทกับคนใหญ่คนโต ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ช่วงนั้นไปทำธุรกิจค้าขายกับกะเหรี่ยงเคเอ็นยู สินค้าขายดีมาก กะเหรี่ยงชอบใจคือถ่านไฟฉายขมิ้น แป้ง รองเท้าแตะ” “เพื่อนแท้ต้องเดินไปด้วยกันทุกทาง ทั้งถนนขรุขระลูกรัง ยันทางด่วน เรียบเหมือนหน้ากลอง” 40 กว่าปีที่รู้จักกัน อาเต๋า ไม่ธรรมดาเขาเหนือกว่าคนทั่วไป ใจใหญ่ เพื่อนมาก พระเยอะ อาเต๋าคบกับใครใจเต็มร้อย ตั้งแต่หนุ่มยันแก่ เขาช่วยคนไว้มาก จนตอนหลังคนเหล่านั้นตอบแทน ขนพระมาให้จนเต็มบ้าน แต่เขาไม่รู้ เก็บเงียบไว้นานร่วม 30-40 ปี จนวันนี้เขาเปิดกรุเอาพระมาทำบุญ แจกมาให้คนที่สมควรจะได้
ระวิ โหลทอง
ประธานที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
พี่อยู่ในวงการได้ 3-4 ปีเท่านั้น ที่ตัดสินใจหันหลังให้วงการเนื่องจากตอนนั้นพี่มีความรัก จึงตัดสินใจแต่งงาน คือคนเราต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเลือกงาน หรือครอบครัว พี่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จึงเดินออกมา ไม่ใช่ว่าเราไม่มีอะไรเลย ชื่อเสียง เงินทองก็มีพอสมควร แต่ครอบครัวนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต จนในที่สุดพี่ก็มีลูก และตั้งใจเลี้ยงเขาอย่างดี เชื่อไหมว่าพี่แทบไม่ดูทีวี ไม่ฟังเพลง เหตุผลในการทำแบบนี้เพื่อตัดใจ และไม่ทำให้เราคิดถึงช่วงเวลาของการทำงาน พี่เชื่อว่าคนเราฟ้าลิขิตชีวิตมาแล้วให้ต้องเดินเส้นทางนี้ เพราะฉะนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ พี่ก็เลือกจะทำแบบเดิม พี่เริ่มศึกษาธรรมมะเป็นจริงเป็นจังได้สักพักแล้ว ตอนแรกไม่ได้คิดจริงจังขนาดนั้น แต่ทำเพื่อความสบายใจ แต่พอเราได้ศึกษามันทำให้มีสติยั้งคิด และยอมรับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรเข้ามาเราจะใช้หลักการพร้อมทั้งเหตุผลเข้าช่วย ซึ่งพี่ก็เอาหลักการทางธรรมมาใช้สอนลูกๆ ในการดำเนินชีวิตด้วย
เพียงพิศ ศิริวิไล
คู่ชีวิตอาเต๋า